วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การวางแนวปลูกและระยะปลูกยางพารา ไบเ็น็ท ยูเนี่ยน โกลด์ Binet Union Gold BUG.


การวางแนวปลูกและระยะปลูกยางพารา

  

           การกำหนดระยะปลูกยางมีผลต่อการเจริญเติบโต, การควบคุมวัชพืชโดยร่มเงาของต้นยาง, ความสะดวกในการจัดการภายในสวนยาง และส่งผลต่อผลผลิตน้ำยางโดยตรง โดยทั่ว ๆ ไป ต้นยางต้องการพื้นที่ประมาณ 20 ตารางเมตร/ต้น ดังนั้น ระยะปลูกที่เหมาะสม หากเป็นที่ราบ ในเขตปลูกยางเดิม ควรเป็น 2.5 x 8 เมตร (จะได้ต้นยางไร่ละ 80 ต้น) หรือ 3 x 7 เมตร (จะได้ต้นยางไร่ละ 76 ต้น) ระยะปลูกทั้ง 2 แบบ เหมาะสำหรับสวนยางที่ต้องการปลูกพืชแซมยางด้วย สำหรับในเขตปลูกยางใหม่ ระยะปลูกควรเป็น 2.5 x 7 เมตร (จะได้ต้นยางไร่ละ 91 ต้น) หรือ 3 x 7 เมตร (จะได้ต้นยางไร่ละ 76 ต้น) แต่ถ้าเป็นพื้นที่ลาดเท ควรปลูกระยะ 3 x 8 เมตร (จะได้ต้นยางไร่ละ 67 ต้น) ระยะในที่ลาดเทที่กล่าวถึง เป็นระยะในแนวระดับ ไม่ใช่แนวเฉียงขึ้นหรือเฉียงลง 

การกำหนดแถวหลัก

          สิ่งแรกที่ต้องทำในการวางแนวหรือแถวเพื่อปลูกยางพารา ก็คือการกำหนดแถวแรกหรือแถวหลัก หลักสำคัญที่ต้องพิจารณาก็คือ ถ้าสวนยางอยู่ในที่ราบแถวหลักควรอยู่ในแนวทิศตะวันออก-ตก(เพื่อให้การรับแสงมีประสิทธิภาพ) หากพื้นที่ลาดเทเล็กน้อยก็ควรวางแนวให้ขวางทางน้ำไหลเพื่อลดการกัดเซาะและพัดพาปุ๋ยและหน้าดิน แถวหลักควรห่างจากเขตแดนของที่ดิน 1.5 เมตร หากอยู่ติดกับสวนยางใหญ่ก็ต้องขุดคูกว้างประมาณ 50 เซ็นติเมตร ลึก 50 เซ็นติเมตร เพื่อป้องกันการแย่งอาหารหรือลดการแพร่ระบาดของโรคราก จากนั้น จึงทำการวางแนวปลูกพร้อมปักไม้ชะมบตามระยะที่กำหนด หากสวนยางอยู่บนพื้นที่ลาดเทตั้งแต่ 15 องศา ขึ้นไป ต้องวางแนวปลูกตามแนวระดับ และต้องทำขั้นบันไดกว้าง 2 เมตร ด้วย

การขุดหลุม



          การขุดหลุมควรทำในขณะที่ดินมีความชื้นเพียงพอ(ที่จะทำการขุด) โดย  ต้องขุดชิดด้านใดด้านหนึ่งของไม้ชะมบ ไม้ต้องถอดไม้ชะมบออก ขนาดหลุมควรมีขนาดประมาณ ก้วางxยาวxสูง 50x50x50 เซ็นติเมตร โดยแยกดินชั้นบนและดินชั้นล่างไว้คนละด้านของหลุมตากดินไว้ประมาณ 7-10 วัน 
        ใส่ปุ๋ยหินฟอสเฟต (0-3-0, 25% Total P2O5) ในอัตรา 170 กรัม/หลุม โดยใส่เป็นจุด หรือเป็นแถบ(ไม่ต้องคลุกกับดิน   ทำการย่อยดินชั้นบนที่ขุดแยกไว้แล้วกลบลงหลุม แล้วคลุกเคล้าปุ๋ยอินทรีย์ จำนวน 3-5 กิโลกรัม/หลุม กับดินชั้นล่างแล้วกลบจนเต็มหลุม (การใส่ปุ๋ยอินทรีย์เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ปลูกยางพาราใหม่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ควรใส่ประมาณ 5 กิโลกรัม/หลุม และในภาคอื่น ๆ หากเป็นดินที่ไม่ค่อยมีอินทรีย์วัตถุ ก็ควรใส่ประมาณ 3 กิโลกรัม/หลุม)
 สำหรับการปลูกยางชำถุง การกลบหลุมอาจกลบก่อนหรืออาจทำพร้อม ๆ กับการปลูกก็ได้เช่นกัน-การกลบก่อนทำให้โอกาสที่ต้นยางรอดตายมีมากขึ้น เพียงแต่ต้องใช้เวลาขุดนิดหนึ่งตอนปลูก

การใช้สารเริ่งรากยางพารา

        เพื่อให้ยางพาราเจริญเติบโตได้เร็วและที่สำคัญต้องยืนต้นผ่านฤดูแล้งได้ ควรฉีดสารซุปเปอร์โกลด์ไบโอพลัส   Supergold Bioolus และ ซุปเปอร์โกลด์ไคโตพลัส   Supergold Chitoplus ควรใช้ ซุปเปอร์โกลด์ไคโตพลัส ผสมร่วมกับ ซุปเปอร์โกลด์ไบโอพลัส ทุกครั้งที่ฉีดพ่น ในอัตราที่เท่าๆ กันจะได้ผลดีมาก ควรฉีดพ่น ช่วงเช้า หรือเย็น พืชจะได้รับธาตุอาหารเต็มที่  ไม่ควรฉีดพ่นขณะที่อากาศร้อนจัด
     

 ประโยชน์ที่พืชได้รับ เมื่อใช้

1.    เร่งการเจริญเติบโต สร้างความแข็งแกร่งให้กับพืช
2.    ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ ให้กับระบบ ราก ลำต้น ใบ ดอก และผล
3.    กระตุ้นให้พืชสร้างภูมิต้านทานโรค และแมลง
4.    ช่วยยับยั้งเชื้อรา แบคทีเรีย ส่งเสริมให้จุลินทรีย์ในดินที่เป็นประโยชน์กับพืช
5.    กระตุ้นการติดดอก ออกผล ลดการหลุดร่วง และป้องกันผลแตก
6.    ช่วยให้พืชมีน้ำหนักดี ผิวสวย รสชาติดี
7.    ปรับสภาพดินที่เสียให้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืช
8.    ไม่ต้องใช้สารจับใบ ลดการใช้ปุ๋ย และสารเคมีอื่นๆ ได้มาก (ลดลง 50 %)
9.    ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาผลผลิต
10.   ได้ผลผลิตปริมาณมาก ปลอดสารพิษ ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ผลิตและผู้บริโภค

 ธาตุอาหาร

      N : ไนโตรเจน         P : โปรแตสเซี่ยม       K : ฟอสฟอรัส       Ca : แคลเซี่ยม    
      Mg : แม็กนีเซี่ยม    S : กำมะถัน                 Fe : เหล็ก               Zn : สังกะสี 
      Cu : ทองแดง          Mu : แมงกานีส            B : โบรอน              Mo : โบลิบดินัม
 

คำแนะนำวิธีการใช้ให้ได้ผลดี

     ควรใช้ ซุปเปอร์โกลด์ไคโตพลัส ผสมร่วมกับ ซุปเปอร์โกลด์ไบโอพลัส ทุกครั้งที่ฉีดพ่น ในอัตราที่เท่าๆ กันจะได้ผลดีมาก ควรฉีดพ่น ช่วงเช้า หรือเย็น พืชจะได้รับธาตุอาหารเต็มที่ ไม่ควรฉีดพ่นขณะที่อากาศร้อนจัด
 
ในภาวะที่พืชมีปัญหาจากการระบาดของโรคและแมลง ให้ใช้ โปรไฟท์ 1 ผสม ซุปเปอร์โกลด์ไคโตพลัส ฉีดพ่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น